วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2550

อาหารลดความอ้วน


อาหารลดความอ้วน ภาคหนึ่ง ตอน "ลดไม่อดลดอย่างไร"


คนไม่อ้วนไม่มีวันเข้าใจว่าไขมันในร่างกายเรานั้นก่อความทุกข์ให้จิตใจมาก ขนาดไหน คิดไปแล้วก็แปลกที่เราช่างสรรกินโน่นกินนี่กัน เพื่อที่จะไปเอามันออกใน ภายหลัง ดูแล้วเกินเหตุเกินสภาพร่างกายจริงๆ เอาเป็นว่าวันนี้เราจะมาสรรกินอะไร ที่มันไม่อ้วนกันโดยเฉพาะดีกว่า ไม่ต้องไปกำจัดภายหลัง วันนี้เรามีสูตรลดความอ้วนสูตรเด็ดมาฝากกัน ผู้เขียนรับประกันว่าได้ผล แน่นอนเพราะลองมาแล้ว ด้วยสูตรนี้ น้ำหนักจะหายไปประมาณ 5 กิโลกรัม โดยใช้ เ วลา 24 วัน น้ำหนักที่ลดจะมากหรือน้อยนั้น ขึ้นกับพฤติ-กรรมการกินเป็นสำคัญ แต่เรารับประกันว่า ลดแน่นอน ที่มาของสูตรนี้ได้มาจากชาวฝรั่งเศส ชื่อ อิวอนน์ ทรูแบรด์ เมื่อใช้สูตรนี้แล้ว ผิวหนังจะไม่เหี่ยวย่นซึ่งเป็นข้อดีเด่นเหนือวิธีลดความอ้วนอื่นๆที่เมื่อลดน้ำหนัก จำนวนมาก ผิวหนังเราปรับตัวไม่ทัน จึงปรากฏเป็นรอยเหี่ยวรอยย่นบนร่างกาย โดยสูตรนี้ออกแบบมาให้ร่างกายสามารถเผาผลาญอาหารที่กินเข้าไปได้มากที่สุด ไม่เหลือตกค้างสะสมเป็นไขมัน จึงไม่ใช่การอดอาหารและไม่ทำร้ายร่างกาย การจะ ใช้สูตรนี้ได้ต้องยอมรับในหลักการที่ว่าน้ำย่อยในร่างกายเราจะมีประสิทธิภาพดี ที่สุด ย่อยได้มากที่สุดเมื่อย่อยอาหารเพียงชนิดเดียวเท่านั้น เช่นย่อยแต่คาร์โบ ไฮเดรต โปรตีน เป็นต้น ดังนั้นในมื้อหนึ่งๆ เราจึงกินอาหารได้เพียงชนิดเดียวเท่านั้น สูตรนี้แบ่งช่วงการกินอาหารออกเป็นสี่ช่วง สี่ระดับความอดทน เก้าวัน สามวัน เก้าวัน สามวัน รวมกันแล้วเป็น 24 วัน ตลอดทั้ง 24 วันนี้ อาหารเช้าจะ เหมือนกันทั้งหมดคือ ส้มโอกับชาหรือกาแฟที่ไม่ใส่น้ำตาล ไม่ใส่นม สามารถใช้ครีม เทียมและน้ำตาลเทียมแทนได้ ( ส้มโอนั้น ตำราฝรั่งจะใช้เกรปฟรุ้ตแทน ) นมและ น้ำตาลเป็นอาหารต้องห้ามตลอด 24 วัน ส่วนอาหารที่ไม่ห้ามนั้น จะกินเท่าไหร่ก็ได้ เช่น สามารถกินส้มโอได้ไม่จำกัด 5 กิโลกรัมก็ได้ ยังอยู่ในสูตรนี้ อาหารของเก้าวันแรก เช้าคือส้มโอและกาแฟหรือชา กลางวันเป็นเนื้อสัตว์ ล้วนๆ ไม่มีข้าว ไม่มีผัก ไม่มีนมและไข่ สามารถใส่ซอสได้ กินได้มากเท่าที่ต้องการ ไม่จำกัด แต่มีข้อแม้ว่าในหนึ่งมื้อให้กินเนื้อสัตว์เพียงชนิดเดียวเท่านั้น เช่น หมูล้วน ไก่ล้วน ปลาล้วน ( ไม่จำเป็นว่าจะต้องมาจากตัวเดียวกันนะคะ ) เพื่อให้กระเพาะ อาหารสามารถทำงานได้ดี มากกว่าการกินปนกันที่จะทำให้กระเพาะอาหารทำงาน หนักขึ้น ความรู้พื้นฐานที่เอาไปใช้ในการเลือกกินได้คือ หมูมีไขมันมากที่สุด เนื้อรอง ลงมา อาหารทะเลมีไขมันน้อย อาหารต้ม นึ่ง เผา มีแคลอรีน้อยกว่าอาหารทอด ดังนั้นใครใคร่กินก็กินได้ไม่จำกัด แม้จะเป็นขาหมูก็ตามแต่ห้ามกินอย่างอื่นปนและ น้ำหนักอาจลดน้อยกว่าที่คิด อาหารแนะนำคือสเต็กพริกไทย ปลาสำลีเผา กุ้งอบเกลือ สตูว์เนื้อไม่ใส่ผัก ปลา กระพงย่างบีบมะนาว หมูทอดกระเทียม แกงจืดหมูสับล้วน ระวังอย่ากินผักและข้าวเป็นพอ สำหรับมื้อเย็น ให้กินแต่ข้าวกล้องล้วนๆ แต่สามารถเติมซอสได้ ผัดกับ กระเทียมได้ ใส่ซีอิ้ว พริกไทยได้หมด ห้ามไม่ให้มีนมกับไข่ผสมเด็ดขาด ผักและ เนื้อสัตว์กินไม่ได้เข่นกัน อาหารแนะนำได้แก่ ข้าวผัดกระเทียมใส่ซีอิ๊วขาว ข้าวผัด กะปิ ข้าวคลุกมันกุ้ง ข้าวผัดมันปู ข้าวคลุกน้ำพริกตาแดง ข้าวคลุกน้ำพริกต่างๆ ข้าวคลุกพริกป่นบีบมะนาว ( ผู้เขียนใช้กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแทน แต่ไม่ได้คุณค่า อย่างอาหารที่แนะนำ สำหรับเวลาต้องการความสะดวกเท่านั้น ) สามวันต่อมา ( ท่านจะเริ่มสังเกตได้ว่าน้ำหนักลดลงจนมีกำลังใจ ) มื้อเช้า ยังคงเหมือนเดิม มื้อกลางวันและเย็นเป็นผลไม้ล้วนๆ ใช่ค่ะ ผลไม้ล้วนๆ ห้ามมีอย่าง อื่นเกี่ยวข้อง ผลไม้อะไรก็ได้ที่ใกล้มือ หาง่าย ทุเรียนก็ได้ มะม่วงก็ได้ กินเท่าไหร่ก็ได้ แต่ต้องกินเป็นมื้อ ไม่ใช่กินจุบจิบนะคะ ทีนี้ท่านที่จ้องจะกินแต่ทุเรียนและมะม่วงสุก น้ำหนักอาจลดน้อยกว่าที่ควร ระวังกันไว้หน่อยดีกว่าค่ะ เก้าวันชุดที่สอง ระดับความอดทนมากขึ้นไปอีกคือ นอกจากอาหารเช้าที่ เหมือนเดิมแล้ว มื้อที่เหลือเป็นผักล้วน แต่โชคดีที่ฝรั่งเค้านับมันฝรั่ง เผือก ข้าวโพด เป็นผักด้วยเหมือนกัน อาหารแนะนำได้แก่ คะน้าผัดน้ำมันหอย ผักนึ่งจิ้มน้ำพริก ผัดผักทุกอย่าง สลัดผักน้ำใส ( ที่ไม่ใส่นม ไข่ และน้ำตาล ) สามวันสุดท้าย ไม่ยากแล้วค่ะ มื้อเช้ายังเหมือนเดิม นอกนั้นเราจะกลับมา กินแต่ผลไม้ล้วนๆ เมื่อครบสูตรนี้แล้วน้ำหนักจะลดลงทันตาเห็นค่ะ ยิ่งถ้าใครสามารถคุมอาหาร เลือกที่มีแคลอรีและไขมันน้อยๆได้ น้ำหนักจะยิ่งลดมากกว่า 5 กิโลกรัมอีกค่ะ ตัวอย่างเช่น เลือกกินปลามากกว่าขาหมู ส้มมากว่าทุเรียน เป็นต้น ทีนี้เราต้องระวัง อีก สูตรอาหาร 24 วันนี้ ถ้าพลาด ผิดหรือเผลอไปหมายถึงให้เริ่มวันแรกใหม่ เริ่มตั้ง ต้นใหม่หมดนะคะ เมื่อครบ 24 วันแล้ว เราสามารถกลับไปกินอาหารแบบก่อนเริ่ม ทำได้อีก แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่ระวังเรื่องน้ำหนักเลย สูตรไหนก็เอาไม่อยู่ค่ะ วิธีนี้เป็นวิธีลดน้ำหนักที่เกี่ยวกับระบบย่อยอาหารโดยเฉพาะ หลังจากทำครบ สูตร ถ้าอยากผอมตลอดโดยไม่ต้องควบคุมปริมาณอาหารเลย ( ใช่ค่ะ หมายถึงกิน มากเท่าไหร่ก็ได้ ) ขอแนะนำให้ใช้วิธีนี้ค่ะ คือ ถ้าจะกินเนื้อ ให้กินเนื้อชนิดเดียวกัน ในแต่ละมื้อและกินร่วมกับผัก ห้ามกินพร้อมกับอาหารพวกแป้ง ถ้าจะกินอาหารพวก แป้งเช่นข้าว ก็ห้ามกินพร้อมกับโปรตีน ให้กินกับผักแทน ข้อแนะนำอีกอย่าง ผลไม้เป็นอาหารที่แนะนำให้ติดบ้านไว้ตลอดเลยค่ะ เพราะ ผลไม้ใช้เวลาอยู่ในกระเพาะเราน้อย แต่อาหารหนักจะอยู่นาน ดังนั้นเพื่อสุขถาพ เราควรกินผลไม้ก่อนกินอาหารหลัก ประมาณ 15 - 30 นาที ค่ะ วิธีนี้เราจะมีระบบ ย่อยอาหารที่ดีและมีผลไม้ไปตัดกำลังการกินอาหารหลักของเรา ทำให้เรากินน้อยลง เองโดยธรรมชาติ เป็นยังไงกันบ้างคะ สนใจกันรึเปล่า หรือว่ายากเกินไป เราคงต้องเข้าใจว่า โลกนี้มีสมดุลนะคะ ถ้าเราไม่คิดจะควบคุมปริมาณก็เป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องควบคุม คุณภาพค่ะ เป็นเรื่องช่วยไม่ได้จริงๆ

อาหารเพื่อสุขภาพ

อาหารเพื่อสุขภาพ


โดย อุไร มกรแก้วเกยูร ( กองอายุรกรรม รพ.จันทรุเบกษา )
ในยุคของการแข่งขัน ที่เรากำลังประสบอยู่ในปัจจุบัน ชีวิตมีความรีบเร่งมากขึ้น จนไม่ค่อยมีเวลาที่จะให้ความสำคัญกับเรื่อง ความสมดุลของอาหารที่รับประทานรวมทั้งค่านิยมการรับประทานอาหารแบบตะวันตก ซึ่งประกอบด้วย เนื้อสัตว์ ไขมัน นม เนย เป็นส่วนใหญ่ ทำให้คนไทยมีโรค ซึ่งเกิดจากการกินดีเกินไป เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคอัมพาต ซึ่งโรคเหล่านี้ล้วนเกี่ยวกับความเสื่อมของหลอดเลือด ในปัจจุบันชาวตะวันตกเริ่มตระหนักถึงพิษภัยของการกินอาหาร ซึ่งไม่สมดุลได้มีการชัดชวนให้ลดการรับประทาน เนื้อสัตว์ นม เนย ให้เพิ่มการรับประทาน พืช ผัก และธัญญพืช ซึ่งอุดมด้วยเส้นใยจากธรรมชาติ และไวตามิน ในวันเด็ก เนื้อสัตว์และนม ยังเป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากร่างกายมีการเจริญเติบโตในวัยผู้ใหญ่ร่างกายต้องการโปรตีนลดลง การรับประทานเนื้อสัตว์ และนมมากเกินไปยังทำให้ร่างกายได้รับไขมันเพิ่ม เนื่องจากในเนื้อสัตว์และนมจะมีปริมาณไขมันค่อนข้างสูง นอกจากนั้นยังพบว่า ผู้ที่รับประทานเนื้อสัตว์มาก ๆ มีโอกาสเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้สูควรเปลี่ยนแปลงมารับประทานโปรตีนจากพืชพวกถั่วแทน อาหารอีกกลุ่มซึ่งไม่ควรรับประทานมากเกินไป คือ น้ำตาล พบว่าน้ำตาลทำให้หลอดเลือดมีความเสื่อมเร็วขึ้น ในผู้ป่วยเบาหวานที่มีน้ำตาลสูงจะพบว่าหลอดเลือดแก่ก่อนวัย ไขมันก็เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ควรจำกัด และใช้น้ำมันจากพืชแทน น้ำมันจากสัตว์ ยกเว้นน้ำมันมะพร้าวและน้ำมันปาล์มควรหลีกเลี่ยง เนื่องจากมีโคเรสเตอรอลสูง อาหารที่ควรรับประทานคือ ผัก ผลไม้ ธัญญพืช เช่น ข้าวซ้อมมือ ถั่ว เพราะอุดมไปด้วย กากใยธรรมชาติ ไวตามิน และเกลือแร่ สุขภาพของเราขึ้นกับกรรมพันธุ์ การออกกำลังกายและอาหาร เราควรเริ่มเอาใจใส่กับอาหารที่รับประทานเสียแต่วันนี้ รอให้เกิดโรคก่อนอาจไม่ทันการ

อาหารแสนอร่อย


ประวัติและความสำคัญของขนมไทย


ขนมจัดเป็นอาหารที่คู่สำรับกับข้าวไทยมาตั้งแต่ครั้งโบราณ โดยใช้คำว่าสำรับกับข้าวคาว-หวาน โดยทั่วไปประชาชนจะทำขนมเฉพาะในงานเลี้ยง นับตั้งแต่การทำบุญเลี้ยงพระ งานมงคลและงานพิธีการ อาหารหวานที่จัดเป็นสำรับจะต้องประกอบด้วย ของหวานอย่างน้อย 5 สิ่ง ซึ่งต้องเลือกให้มีรสชาติ สีสัน ชนิด ตลอดจนลักษณะที่กลมกลืนกัน แต่ละสำรับจะต้องมีผลไม้ 10 ที่ และขนมเป็นน้ำ 1 ที่เสมอ ประเทศไทยครั้งยังเป็นสยามประเทศได้ติดต่อค้าขายกับชาวต่างชาติ เช่น จีน อินเดีย มาตั้งแต่สมัยสุโขทัยโดยส่งเสริมการขายสินค้าซึ่งกันและกัน ตลอดจนแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมด้านอาหารการกินร่วมไปด้วย ต่อมาในสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ ได้มีการเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศต่าง ๆ อย่างกว้างขวางไทยได้รับเอาวัฒนธรรมด้านอาหารของชาติต่าง ๆ มาดัดแปลงให้เหมาะสมกับสภาพท้องถิ่น วัตถุดิบที่หาได้ เครื่องมือเครื่องใช้ ตลอดจนการบริโภคนิสัยแบบไทย ๆ จนทำให้คนรุ่นหลัง ๆ แยกไม่ออกว่าอะไรคือขนมที่เป็นไทยแท้ ๆ และอะไรดัดแปลงมาจากวัฒนธรรมของชาติอื่น เช่น ขนมที่ใช้ไข่และขนมที่ต้องเข้าเตาอบ ซึ่งเข้ามาในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จากคุณท้าวทองกีบม้าภรรยาเชื้อชาติญี่ปุ่น สัญชาติโปรตุเกสของเจ้าพระยาวิชเยนทร์ ผู้เป็นกงศุลประจำประเทศไทยในสมัยนั้น ไทยมิใช่เพียงรับทองหยิบ ทองหยอด และฝอยทองมาเท่านั้น หากยังให้ความสำคัญกับขนมเหล่านี้โดยใช้เป็นขนมมงคลอีกด้วย ส่วนใหญ่ตำรับขนมที่ใส่มักเป็น "ของเทศ" เช่น ทองหยิบ ฝอยทอง ทองหยอดจากโปรตุเกส มัสกอดจากสกอตต์ ขนมไทย เป็นเอกลักษณ์ด้านวัฒนธรรมประจำชาติไทยอย่างหนึ่งที่เป็นที่รู้จักกันดี เพราะเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความละเอียดอ่อนประณีตในการทำ ตั้งแต่วัตถุดิบ วิธีการทำ ที่กลมกลืน พิถีพิถัน ในเรื่องรสชาติ สีสัน ความสวยงาม กลิ่นหอม รูปลักษณะชวนรับประทาน ตลอดจนกรรมวิธีการรับประทาน ขนมแต่ละชนิด ซึ่งยังแตกต่างกันไปตามลักษณะของขนมชนิดนั้น ๆ ขนมไทยที่นิยมทำกันทุก ๆ ภาคของประเทศไทย ในพิธีการต่าง ๆ เนื่องในการทำบุญเลี้ยงพระ ก็คือขนมจากไข่ และมักถือเคล็ดจากชื่อและลักษณะของขนมนั้น ๆ งานศิริมงคลต่าง ๆ เช่น งานมงคลสมรส ทำบุญวันเกิด หรือทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ส่วนใหญ่ก็จะมีการเลี้ยงพระกับแขกที่มาในงาน เพื่อเป็นศิริมงคลของงานขนมก็จะมีฝอยทอง เพื่อหวังให้อยู่ด้วยกัน ยืดยาวมีอายุยืน ขนมชั้น ก็ให้ได้เลื่อนขั้นเงินเดือน ขนมถ้วยฟูก็ขอให้เฟื่องฟู ขนมทองเอกก็ขอให้ได้เป็นเอก เป็นต้น
ขนมที่ใช้ในงานมงคลสมรส
ถ้าเป็นงานมงคลสมรสมักจะทำขนมหวานให้ครบ 9 สิ่งขนมที่ใช้ในงานมงคลสมรสตามประเพณี ทางฝ่ายเจ้าสาวจะต้องเป็นผู้จัด และขนมที่นิยมจัด คือ
1. ฝอยทองหรือทองหยิบ 2. ขนมชั้น 3. ขนมถ้วยฟู 4. ขนมทองเอก 5. ขนมหม้อแกง 6. พุทราจีนเชื่อม 7. ข้าวเหนียวแก้ว หรือวุ้นหน้าสีต่าง ๆ 8. ขนมดอกลำดวน 9. ผลไม้ต่าง ๆ ลอยแก้ว
แต่ตามความเชื่อบางอย่างของคนไทย ขนมที่มีลักษณะเป็นเส้น มักจะใช้สำหรับงานทำบุญอายุ เพราะเชื่อว่าจะช่วยให้มีอายุยืนยาว แต่กลับไม่ใช้จัดในงานศพ เพราะเชื่อว่าจะมีการตายต่อเนื่องไม่เป็นมงคล ความเชื่อเหล่านี้ถือเป็นเหตุผลของแต่ละบุคคลมิได้เป็นข้อห้ามเสียทีเดียว